บัวหิมะ ไม่ได้มีดีแค่อร่อย แต่มากด้วยคุณสมบัติ

บัวหิมะ หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยเห็นหรือเคยรับประทาน ส่วนที่เรานำมารับประทานของบัวหิมะไม่ใช่เป็นส่วนผล แต่เป็นส่วนรากที่มีลักษณะคล้ายหัวมัน มีรสชาติหวาน กรอบ ฉ่ำน้ำ อร่อย และนอกเหนือจากนั้นยังมีสรรพคุณเยอะแยะมากมายอีกด้วย

1. ช่วยในการลดน้ำหนัก

น้ำตาลจากธรรมชาติของบัวหิมะมีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้ โดยการศึกษาในปี 2009 ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ Clinical Nutrition เผยว่า ผู้หญิงที่รับประทานน้ำเชื่อมบัวหิมะในปริมาณ 0.14-0.29 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ติดต่อกันอย่างน้อย 120 วัน จะทำให้น้ำหนัก ดัชนีมวลกาย และรอบเอวลดลง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าน้ำเชื่อมบัวหิมะจะเข้าไปสร้างความรู้สึกอิ่มให้กับร่างกาย ช่วยให้ความอยากอาหารลดลง

2. ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์

ในบัวหิมะมีน้ำตาลชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ (Fructooligosaccharide) มีคุณสมบัติในการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี โดยการศึกษาในปี 2011 ซึ่งตีพิมพ์ใน Chemico-Biological Interactions พบว่า หนูทดลองที่เป็นโรคเบาหวาน เมื่อได้อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของบัวหิมะติดต่อกันทุกวัน ระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี มีอัตราลดลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีการศึกษากับมนุษย์อันแสดงให้เห็นว่า การรับประทานบัวหิมะเป็นประจำจะช่วยลดไขมันทั้งสองชนิดได้เช่นกัน และเมื่อระดับไขมันทั้งสองชนิดนี้ลดลง ความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดก็จะลดลงตามไปด้วย

3. ลดระดับน้ำตาลในเลือด

แม้ว่าบัวหิมะจะมีรสชาติหวาน แต่รสชาติหวานนี้ก็มาจากอินูลิน (Inulin) ซึ่งเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติ โดยมีการศึกษาพบว่า อินูลินเป็นสารที่ส่งผลดีต่อการทำงานของอินซูลินในร่างกาย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การรับประทานบัวหิมะเป็นประจำจะสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ อีกทั้งระดับความหวานของบัวหิมะยังน้อยกว่าระดับความหวานของน้ำตาลกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าบัวหิมะเป็นอาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องกลัวเรื่องระดับน้ำตาลค่ะ

4. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและความดันโลหิต

บัวหิมะเป็นพืชที่ขึ้นชื่อว่าดีกับสุขภาพหัวใจ เพราะในบัวหิมะมีระดับโพแทสเซียมสูง โดยโพแทสเซียมมีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยผ่อนคลายระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ออกซิเจนในเลือดเพิ่มขึ้น ลดความดันโลหิต และทำให้ความเสี่ยงโรคหัวใจลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจของผู้ป่วยได้อีกต่างหาก อีกทั้งโพแทสเซียมในบัวหิมะยังช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายร่วมกับโซเดียม แต่ทั้งนี้ก็ควรบริโภคอาหารที่มีโซเดียมอย่างพอเหมาะด้วยค่ะ

5. ต้านมะเร็ง

การศึกษาในปี 2011 ในวารสารทางวิชาการ Fitoterapia พบว่า บัวหิมะมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการเจริญเติบโต ยับยั้งการแพร่กระจาย และการกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งได้ ทำให้ความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนัง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และโรคมะเร็งของเลือดทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ โรคมะเร็งไขกระดูก โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวลดลง อีกทั้งในบัวหิมะยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลายจนเกิดการอักเสบต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้

6. ป้องกันภาวะไขมันพอกตับ

นอกจากจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในร่างกายแล้ว จากการศึกษาในปี 2008 ยังพบว่า การรับประทานบัวหิมะควบคู่กับสารไซลิมาริน (Silymarin) จะส่งผลดีต่อผู้ป่วยที่มีการเผาผลาญของร่างกายผิดปกติจนทำให้อ้วนลงพุงได้อีกด้วย โดยในการศึกษาแสดงให้เห็นว่า เมื่ออาสาสมัครรับประทานบัวหิมะวันละ 2.4 กรัม และสารไซลิมาริน (Silymarin) วันละ 0.8 กรัม ติดต่อกัน 90 วัน ระดับของคอเลสเตอรอลลดลง และปริมาณไขมันสะสมในตับก็ลดลงด้วย ทำให้ความเสี่ยงภาวะไขมันพอกตับลดลงค่ะ

7. สร้างเสริมระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก

โพรไบโอติกส์ในบัวหิมะเป็นแบคทีเรียชนิดที่ดีต่อร่างกาย ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ทำให้อาการท้องผูก ท้องอืด และปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่ายต่าง ๆ ที่่อาจนำมาสู่การเกิดเนื้องอกในกระเพาะอาหารหรือโรคมะเร็งลำไส้ลดลงได้ ขณะที่ไฟเบอร์ในบัวหิมะก็ยังช่วยสร้างเสริมระบบขับถ่ายได้อีกทางหนึ่งด้วย ได้ประโยชน์หลายต่อแบบนี้ต้องหามาลองกันแล้วล่ะ

 

ขอบคุณรูปภาพจาก : health.kapook.com